การให้ทิปเป็นเรื่องที่ควรทำอย่างยิ่งในอเมริกาไม่ว่าจะเป็นบริการด้านไหนก็ตามต้องให้ทิปทั้งนั้น ยกเว้นแค่ว่าพนักงานบริการได้ห่วยแตกจริงๆ เท่านั้นแหละถึงไม่ต้องให้ทิป (แปลว่าถ้าบริการตามมาตรฐาน, เฉยๆ, ก็ไม่แย่เท่าไหร่ หรือพอรับได้ ก็ควรให้นะ) โดยหลักการให้ทิปมีคร่าวๆ ดังนี้
การให้ทิปบริกรในร้านอาหาร ควรให้ที่ 15 - 20% ของค่าอาหาร ยกเว้นร้านนั้นมีป้ายบอกว่า "No Tipping" หรือรวมค่าบริการในบิลเรียบร้อยแล้ว
การให้ทิปแม่บ้านที่โรงแรม ควรให้ที่ $2 - 4 ต่อคืน โดยวางไว้ใต้แผ่นการ์ดของโรงแรมที่มักตั้งอยู่บนโต๊ะข้างเตียง
การให้ทิปคนขับแท็กซี่ ควรให้ที่ 10 - 15% ของค่ารถ โดยควรปัดขึ้นเต็มดอลล่าร์ ไม่ต้องมีเศษเซ็นต์
การให้ทิปบาร์เทนเดอร์ หรือพนักงานเสิร์ฟเครื่องดื่มในเลาจน์ (lounge) ควรให้ที่ 10 - 15% ของค่าเครื่องดื่ม หรือที่นิยมกันคือจ่ายเพิ่ม $1 ต่อแก้ว
หรือถ้าใครจะใช้บริการพนักงานเข็นกระเป๋าในโรงแรม (เชื่อว่าไม่น่ามีใครใช้บริการนี้ แต่บอกเผื่อไว้ก่อน) ควรให้ทิปที่ $2 ต่อกระเป๋า 1 ใบ หรือ $5 ต่อรถเข็นหนึ่งคัน
ถ้าซื้ออาหารหรือเครื่องดื่มแบบที่ต้องต่อแถวสั่งที่เคาน์เตอร์ ร้านส่วนมากจะมีกล่องทิปตั้งไว้ที่แคชเชียร์ แบบนี้ไม่จำเป็นต้องให้ก็ได้ แต่ถ้าเห็นว่าพนักงานขายทักทายดีพูดจาน่ารัก จะให้เศษเหรียญจากเงินทอนก็ได้
แม้การให้ทิปจะไม่ได้ระบุไว้ในกฎหมาย แต่ก็เป็นวัฒนธรรมของบ้านเขา เราไปหาประสบการณ์ต่างประเทศก็ควรเรียนรู้วัฒนธรรมของเขาดู เพราะบางรัฐมีค่าแรงขั้นต่ำให้อาชีพที่ควรได้ทิปแค่ $2.13 ต่อชั่วโมงเอง (ปกติอยู่ที่ $7.25) ฉะนั้นชีวิตเขาขึ้นอยู่กับทิปเลย ก็ต้องเห็นใจเขาด้วย
แล้วถ้าเราไปใช้บริการที่ควรให้ทิป แต่เราไม่ให้ทิปล่ะ จะเกิดอะไรขึ้น
ก็มีตั้งแต่พนักงานทำหน้านิ่งเหมือนไม่รับรู้ พนักงานที่บริการดีมาตลอดอาจจะดูห่างเหินและยิ้มน้อยลง แต่ถ้าเป็นพนักงานที่บริการได้เฉยๆ (บอกแล้วว่าเฉยๆ ก็ควรให้) เขาจะคิดว่าเขาควรได้ แล้วพอไม่ได้เขาอาจจะรีบทำท่าให้ออกไปเร็วๆ ชักสีหน้า จ้องตาเขม็ง แยกเขี้ยว บางคนอาจทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ก็มี
ถ้าเป็นร้านดังๆ ผู้จัดการอาจเข้ามาถามเลยว่าพนักงานบริการแย่สุดๆ เลยใช่มั้ย ซึ่งถ้าเป็นเรื่องจริง ผู้จัดการอาจจะขอโทษขอโพย ให้ของแถมหรือลดราคาค่าอาหารให้ แต่ถ้าพนักงานบริการดีแต่เรางกเฉยๆ คนทั้งร้านก็จะมองเป็นตาเดียว